เปิดตำนาน “วันวาเลนไทน์” เมื่อจุดเริ่มต้นที่แท้จริงไม่ได้มาจาก “ดอกกุหลาบ”

วันวาเลนไทน์ หรือวันแห่งความรัก ที่ผู้คน ทุกเพศ ทุกวัย โดยเฉพาะหนุ่มสาว จะถือเป็นวาระพิเศษ ที่จะแสดงความรักแก่กัน โดยมากก็จะเป็นการมอบของขวัญ การไปทานอาหารมื้อพิเศษ หรือมอบดอกไม้ ซึ่งดอกไม้ยอดนิยม ก็จะเป็นดอกกุหลาบ

แต่คุณรู้หรือไม่ว่า จริง ๆ แล้ว ดอกไม้ที่เป็นจุดเริ่มต้นที่แท้จริงของวาเลนไทน์ คือ ดอกอัลมอนด์สีชมพู ไม่ใช่ดอกกุหลาบ ตามที่หลายคนเข้าใจ

ตำนานเล่าว่า วันวาเลนไทน์ กำเนิดขึ้นมาในกรุงโรม หรืออาณาจักรโรมัน ตั้งแต่ศตวรรษที่ 3 ในช่วงยุคของจักรพรรดิคลอดิอุส ที่สอง ซึ่งมีนิสัยชอบข่มเหงรังแกผู้อื่น บังคับให้ชาวโรมันทุกคนต้องสักการะพระเจ้าทั้ง 12 องค์ และห้ามไม่ให้เกี่ยวข้องกับพวกคริสเตียน ใครคิดต่อต้านจะได้รับทำโทษอย่างหนัก แต่มีนักบุญผู้หนึ่งที่ชื่อว่า วาเลนตินุส (Valentinus) เขามีเลื่อมใสศรัทธาต่อพระคริสต์เป็นอย่างมาก จนการได้รับการยกย่องเป็น เซนต์ วาเลนไทน์ ในภายหลัง ซึ่งมักจะคอยลักลอบแอบจัดงานแต่งงานให้กับคู่รักคริสเตียน จนตัวเองถูกจับขังและรับโทษทรมานแสนสาหัสอยู่ในคุก

ขณะที่กำลังถูกคุมขังอยู่นั้น ผู้คุมขังได้ร้องขอให้วาเลนตินุสช่วยสอนจูเลียผู้เป็นลูกสาวที่ตาบอดตั้งแต่เกิด แม้ว่าจูเลียจะเป็นหญิงงาม แต่ก็อาภัพมองไม่เห็น วาเลนตินุสจึงได้สอนประวัติศาสตร์ สอนการคิดคำนวณ และเล่าเรื่องพระเจ้าให้เธอฟัง ด้วยความฉลาดของจูเลีย เธอจึงสามารถรับรู้สิ่งต่าง ๆ ในโลกนี้ได้อย่างถ่องแท้ และเธอก็รู้สึกเชื่อใจในตัววาเลนตินุส และมีความสุขอย่างมากเมื่ออยู่กับเขา

วันหนึ่ง จูเลียเอ่ยถามวาเลนตินุสว่า “หากเราอธิษฐานต่อพระผู้เป็นเจ้า ท่านจะทรงได้ยินเราไหม” วาเลนตินุสจึงตอบไปว่า “พระองค์เจ้าได้ยินเราทุกคนแน่นอน” จูเลียจึงกล่าวต่อว่า “ท่านทราบหรือไม่ ในทุก เช้าเย็น ข้าทูลอธิษฐานขออะไร….ข้าต้องการอยากจะมองเห็นโลกใบนี้ และเห็นทุก ๆอย่างที่ท่านเล่าให้ฟัง” วาเลนตินุสจึงตอบกลับไปว่า “พระเจ้าย่อมมอบแต่สิ่งที่ดีที่สุดให้แก่ทุกคน แต่ต้องมีความเชื่อมั่นในพระองค์เท่านั้นเอง” ด้วยความเชื่อมั่นในพระผู้เป็นเจ้า จูเลียจึงนั่งคุกเข่าและกุมมืออธิษฐานขอพรไปพร้อมๆกับ วาเลนตินุส และเกิดสิ่งมหัศจรรย์ขึ้น เมื่อจูเลียค่อย ๆ ลืมตาขึ้น เธอก็สามารถมองเห็นได้ และเรื่องนี้ก็เป็นที่กล่าวถึงกันไปทั่วทั้งราชอาณาจักร

ก่อนที่วาเลนตินุสจะถูกตัดศีรษะ เขาได้ส่งจดหมายฉบับสุดท้ายให้แก่จูเลีย ซึ่งลงท้ายจดหมายว่า “From Your Valentine” วาเลนตินุสเสียชีวิตในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 270 และศพของวาเลนตินุสถูกเก็บไว้ในโบสถ์พราซีเดสที่กรุงโรม ใกล้หลุมศพนั้น จูเลียได้ปลูกต้นอามันต์ หรืออัลมอนด์สีชมพู เอาไว้เพื่อมอบแต่วาเลนตินุสผู้เป็นที่รัก จนทุกวันนี้ ต้นอามันต์สีชมพูหรือ หรืออัลมอนด์สีชมพู จึงกลายเป็นตัวแทนแห่งความรักนิรันดร์และมิตรภาพอันแสนยาวนาน

เจาะตำนานป่าคำชะโนด ผีจ้างหนัง พญานาค และวิทยาศาสตร์

ในเดือนตุลาคมของทุกปี จะเป็นช่วงที่ตรงกับเทศกาลวันออกพรรษา ซึ่งปีนี้ตรงกับวันที่ 27 ตุลาคม และเป็นประจำทุกปีอีกเช่นเดียวกันที่วันออกพรรษามักจะมาพร้อมกับตำนานของพญานาค ซึ่งตามความเชื่อของชาวพุทธศาสนิกชนจะเชื่อว่า พระพุทธเจ้าจะเสด็จฯขึ้นไปบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เพื่อโปรดพระมารดา   จากนั้นในวันออกพรรษา พญานาคจะจุดบั้งไฟถวายเป็นพุทธบูชาเพื่อต้อนรับการกลับมาของพระพุทธเจ้า จากตำนานนี้ทำให้วันออกพรรษากับพญานาคเป็นสิ่งคู่กัน นอกจากตำนานบั้งไฟพญานาคที่ยังไม่เป็นข้อกระจ่างชัดเจนว่า เกิดขึ้นจากอะไร ? อีกหนึ่งตำนานความเชื่อเกี่ยวกับพญานาคที่คนไทยหลายคนยังสงสัยนั่นคือ ป่าคำชะโนด สถานที่ขึ้นชื่อว่าเป็นวังพญานาค วันนี้ MThai ข่าวภาคซ่าส์จะพาไปเจาะตำนานนี้กัน%e0%b8%9e%e0%b8%8d%e0%b8%b2%e0%b8%99%e0%b8%b2%e0%b8%84

ตามตำนานว่ากันว่า เกาะคำชะโนดเป็นเมืองของพญานาคและเป็นทางขึ้นลงเมืองบาดาลของพญาศรีสุทโธ ซึ่งชาวอีสานเชื่อว่าเป็นพญานาคผู้ขุดแม่น้ำโขง โดยเมื่อข้างขึ้น 15 วัน พญานาคจะกลายเป็นคนมาอยู่บนเกาะส่วน อีก 15 วันข้างแรม จะกลายเป็นนาคอาศัยในเมืองบาดาล      ส่วนอีกตำนานที่กลายเป็นเสียงฮือฮามากเมื่อหลายสิบปีก่อนนั่นคือเรื่องราวของผีจ้างหนัง โดยเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อ เมื่อปี 2532 มีคณะหนังกลางแปลงได้รับว่าจ้างให้ไปจ้างหนังที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งด้วยเงิน 4 พันบาท โดยมีข้อแม้ว่าต้องฉายหนังให้จบก่อนตี 4 และต้องกลับออกจากหมู่บ้านก่อนฟ้าสาง ตอนออกจากหมู่บ้านห้ามหันหลังไปมอง ซึ่งพอไปถึงวันฉายก็มีเหตุการณ์แปลก ๆ คือ ตอนฉายแรก ๆ ไม่มีคนเลย แม้แต่ร้านรวงที่ต้องมาตั้งแผงขายของก็ไม่มี

จนกระทั่ง 3 ทุ่มก็มีผู้หญิงนุ่งชุดขาว และ ผู้ชายนุ่งผ้าสีดำมาดูหนัง นั่งกันสงบเรียบร้อย ฉายหนังสนุกแค่ไหน ตลกแค่ไหนก็ไม่มีเสียง ซึ่งพอคณะออกจากที่ฉายในตอนรุ่งเช้า ได้แวะซื้อของที่หมู่บ้านข้างทาง ชาวบ้านได้ถามว่าไปฉายที่ไหนมา จึงได้ตอบไปว่าที่หมู่บ้าน แต่ชาวบ้านยืนยันว่าตรงนั้นเป็นดงป่าไม่มีคนอยู่ คนฉายก็เพิ่งรู้ว่าบริเวณดังกล่าวคือป่าคำชะโนด และเงินที่ได้รับว่าจ้างมาก็เป็นใบไม้        โดยมีรายการย้อนรอย ทางช่อง ITV เคยลงพื้นที่ทำเป็นสกู๊ปสัมภาษณ์คณะที่ไปทำการฉายหนังจริง ๆ ซึ่งเจ้าของคณะยืนยันว่าเรื่องนี้มาจากลูกน้องที่ไปฉายหนังในพื้นที่ดังกล่าว แต่เงินนั้นได้มาจริง ๆ ไม่ใช่ใบไม้แต่อย่างใดตามที่ร่ำลือ ซึ่งหลังจากเหตุการณ์นั้นพนักงานฉายหนังทั้งหมดที่ไปในคราวนั้นได้ลาออกกันหมด

ป่าคำชะโนด หรือ เกาะคำชะโนด ตั้งอยู่ใน อำเภอบ้านดุง จังหวัดอุดรธานี เป็นเกาะกลางน้ำขนาดใหญ่ซึ่งมีต้นชะโนดขึ้นเป็นจำนวนมาก ซึ่งต้นชะโนดนี้เป็นพืชประเภทเดียวกับปาล์ม ความสูงของต้นประมาณ 20 เมตร มีใบเหมือนใบตาล ลำต้นเหมือนต้นมะพร้าว ลูกเป็นเม็ดเล็ก ๆ คล้ายหมาก โดยความประหลาดของป่าคำชะโนดอยู่ที่เวลาน้ำท่วมหรือน้ำขึ้นสูง เกาะแห่งนี้ก็ไม่จมไปกับน้ำ เวลาน้ำลดก็ยังอยู่บริเวณเดิมจนชาวบ้านเชื่อว่าเป็นเกาะลอยน้ำ    ทั้งนี้เกี่ยวกับเรื่องเกาะลอยน้ำ ได้มีนักวิชาการเผยว่า เกาะดังกล่าวไม่ใช่เกาะลอยน้ำแน่นอน เพราะด้านล่างมีพื้นดิน ซึ่งตัวเกาะเกิดจากทับถมกันของซากพืช คล้ายการทับถมของผักตบชวาจนกลายเป็นแพเกาะ ส่วนต้นไม้ที่ขึ้นอยู่บนเกาะ มีรากแผ่ไปข้าง ๆ พยุงเกาะ ทำให้เหมือนว่าเป็นเกาะลอยน้ำ ยกตัวขึ้นลงได้ตามปรากฏการณ์น้ำขึ้นน้ำลง

เคยมีนักประดาน้ำลงไปสำรวจพบว่าใต้เกาะ มีรากไม้หนาแน่นเป็นจำนวนมาก แต่เข้าไปไม่ถึงใจกลางของเกาะเพราะถูกรากไม้เหนี่ยวรั้งตัวไว้ ซึ่งชาวบ้านเชื่อว่าใจกลางใต้เกาะเป็นประตูสู่เมืองบาดาลนั่นเองป่าคำชะโนด มีข้อห้ามอยู่ว่า หากใครไปเยือนต้องถอดรองเท้า ถอดหมวก ก่อนเข้าไปเดินบนเกาะ ห้ามพูดจาหยาบคายและห้ามนำของจากป่าออกไปเด็ดขาด ซึ่งนักวิชาการถือว่าเกาะศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้มีความน่าสนใจตรงที่ สามารถทำให้คนเชื่อและอยู่ในกรอบที่บรรพชนตั้งไว้ได้อย่างดี